บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การศึกษารูปตามแนวพระอภิธรรมปิฎก

การศึกษารูปตามแนวพระอภิธรรมปิฎก

อำนวย สุวรรณคีรี

1. ความสำคัญของพระอภิธรรมปิฎก
            อภิธรรม คือ ธรรมอันยิ่งอันประเสริฐ เป็นธรรมชั้นสูงในพุทธศาสนา มีเนื้อหาเป็นหลักวิชาการล้วน ซึ่งแตกต่างไปจากพระวินัยซึ่งกล่าวถึงสิกขาบทของภิกษุและภิกษุณี รวมไปถึงความเป็นมาเป็นไปแห่งบัญญัติข้อนั้นๆด้วย และ พระสูตรคือเทศนาของพระพุทธเจ้าตามสถานที่ต่างๆ เทศน์ให้แก่บุคคลในโอกาสต่างๆ ซึ่งถูกรวบรวมไว้ในพระไตรปิฎก

2. ความเป็นมาของพระอภิธรรมปิฎก
หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรง พิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับ            พระอภิธรรมซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับปรมัตถธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน) อันเป็นแก่นของธรรมะในพระพุทธศาสนาอยู่ตลอด 7 วัน ในขณะที่ทรงพิจารณาเรื่องของเหตุ เรื่องของปัจจัยในปรมัตถธรรมอันเป็นที่มาของคัมภีร์ปัฏฐานอยู่นั้น ก็ปรากฏฉัพพรรณรังสี (รัศมี 6 ประการ)มีสีเขียว                     สีเหลือง สีแดง สีขาว สีม่วง และสีเลื่อมพราย เหมือนแก้วผลึก แผ่ออกจากพระวรกายอย่างน่าอัศจรรย์
ในช่วง 6 พรรษาแรกของการประกาศศาสนา พระพุทธองค์ยังมิได้ ทรงตรัสสอนพระอภิธรรมแก่ผู้ใด เพราะพระอภิธรรมเป็นธรรมะที่เกี่ยวข้อง กับปรมัตถธรรมล้วนๆ ยากแก่การที่จะอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย บุคคลที่ จะรับอรรถรสของพระอภิธรรมได้นั้นต้องเป็นบุคคลที่ประกอบด้วยศรัทธา อันมั่นคงและได้เคยสั่งสมบารมีอันเกี่ยวกับปัญญาในเรื่องนี้มาบ้างแล้วแต่    กาลก่อน แต่ในช่วงต้นของการประกาศศาสนานั้นคนส่วนใหญ่ยังมีศรัทธา และมีความเชื่อในพระพุทธศาสนาน้อย ยังไม่พร้อมที่จะรับคาสอนเกี่ยวกับ ปรมัตถธรรมซึ่งเป็นธรรมะอันลึกซึ้งได้ พระองค์จึงยังไม่ทรงแสดงให้ ทราบเพราะถ้าทรงแสดงไปแล้วความสงสัยไม่เข้าใจหรือความไม่เชื่อย่อมจะ เกิดแก่ชนเหล่านั้น เมื่อมีความสงสัยไม่เข้าใจหรือไม่เชื่อแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนต่อพระอภิธรรมได้ ซึ่งจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
ล่วงมาถึงพรรษาที่ 7 พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงพระอภิธรรมเป็น ครั้งแรก โดยเสด็จขึ้นไปจาพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทดแทนคุณ ของพระมารดาด้วยการแสดงพระอภิธรรมเทศนาโปรดพุทธมารดา ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ประสูติพระองค์ได้ 7 วัน และได้อุบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตมีพระนามว่า สันดุสิตเทพบุตร ในการแสดงธรรมครั้งนี้ได้มีเทวดาและพรหมจากหมื่นจักรวาลจานวนหลายแสนโกฏิ มาร่วมฟังธรรมด้วย โดยมีสันดุสิตเทพบุตรเป็นประธาน ณ ที่นั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงพระอภิธรรม แก่เหล่าเทวดาและพรหมด้วย วิตถารนัย คือ แสดงโดยละเอียดพิสดาร ตลอดพรรษากาล คือ 3 เดือนเต็ม
สาหรับในโลกมนุษย์นั้น พระองค์ได้ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเป็นองค์ แรก คือในระหว่างที่ทรงแสดงธรรมอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นพอได้เวลาบิณฑบาต พระองค์ก็ทรงเนรมิตพุทธนิมิตขึ้นแสดงธรรมแทนพระองค์ แล้วพระองค์ก็เสด็จไปบิณฑบาตในหมู่ชนชาวอุตตรกุรุ เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้วก็เสด็จไปยังป่าไม้จันทน์ซึ่งอยู่ในบริเวณป่าหิมวันต์ใกล้กับสระ อโนดาตเพื่อเสวยพระกระยาหาร โดยมีพระสารีบุตรเถระมาเฝ้าทุกวัน หลังจากที่ทรงเสวยแล้วก็ทรงสรุปเนื้อหาของพระอภิธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงแก่เหล่าเทวดาและพรหมให้พระสารีบุตรฟังวันต่อวัน5 เสร็จ แล้วพระองค์จึงเสด็จกลับขึ้นสู่ดาวดึงส์เทวโลก เพื่อแสดงธรรมต่อไป ทรง กระทาเช่นนี้ทุกวันตลอด 3 เดือน เมื่อการแสดงพระอภิธรรมบนเทวโลก จบสมบูรณ์แล้วการแสดงพระอภิธรรมแก่พระสารีบุตรก็จบสมบูรณ์ด้วย เช่นกัน เมื่อจบพระอภิธรรมเทศนาเทวดาและพรหม 811,111 โกฏิได้ บรรลุธรรม และสันดุสิตเทพบุตร(พุทธมารดา)ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคล
เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังพระอภิธรรมจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็นา มาสอนให้แก่ภิกษุ 511 รูป ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านโดยสอนตามพระ พุทธองค์วันต่อวันและจบบริบูรณ์ในเวลา 3 เดือนเช่นกัน การสอนพระ อภิธรรมของพระสารีบุตรที่สอนแก่ภิกษุ 511 รูปนี้เป็นการสอนชนิดไม่ ย่อเกินไป ไม่พิสดารเกินไป เรียกว่า นาติวิตถารนาติสังเขปนัย ภิกษุทั้ง 511 รูปนี้ เคยมีอุปนิสัยมาแล้วในชาติก่อน คือในสมัย ศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุทั้ง 511 รูปนี้เป็นค้างคาว อาศัยอยู่ในถ้าแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมีภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรม 2 รูปที่อาศัย อยู่ในถ้านั้นเช่นกัน กาลังสวดสาธยายพระอภิธรรมอยู่ เมื่อค้างคาวทั้ง 511 ตัวได้ยินเสียงพระสวดสาธยายพระอภิธรรมก็รู้เพียงว่าเป็นพระธรรม เท่านั้นหาได้รู้ความหมายใดๆ ไม่ แต่ก็พากันตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อสิ้น จากชาติที่เป็นค้างคาวแล้วก็ได้ไปเกิดอยู่ในเทวโลกเหมือนกันทั้งหมด  จนกระทั่งศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นจึงได้จุติจากเทวโลกมาเกิดเป็นมนุษย์และได้บวชเป็นภิกษุในศาสนานี้ตลอดจนได้เรียน พระอภิธรรมจากพระสารีบุตรดังกล่าวแล้ว นับแต่นั้นมาการสาธยายท่องจำ และการถ่ายทอดความรู้เรื่องพระอภิธรรมก็ได้แพร่ขยายออกไป  อย่างกว้างขวาง

3. การศึกษาพระอภิธรรมปิฎก
            ประมาณปี พ.. 12119 มีพระเถระผู้ทรงความรู้ในพระไตรปิฎกท่านหนึ่งมีนามว่า พระอนุรุทธเถระ (พระอนุรุทธาจารย์) ท่านเป็นชาว กาวิลกัญจิ แขวงเมืองมัทราช ภาคใต้ของประเทศอินเดีย ท่านได้มาศึกษา พระอภิธรรมอยู่ที่สานักวัดตุมูลโสมาราม เมืองอนุราธบุรี ประเทศลังกา จนมีความแตกฉานและได้รับยกย่องว่าเป็นปราชญ์ทางพระอภิธรรมท่านหนึ่ง ต่อมาท่านได้รับอาราธนาจากนัมพะอุบาสกผู้เป็นทายกให้ช่วยเรียบเรียงพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ละเอียดลึกซึ้งมากนั้นให้สั้นและง่ายเพื่อสะดวกแก่การศึกษาและจดจา ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้เป็นประโยชน์แก่นักศึกษาพระอภิธรรมทั้งหลายในอนาคต พระอนุรุทธาจารย์ได้อาศัยพระอภิธรรมปิฎกทั้ง 7 คัมภีร์ มาเป็นหลักในการเรียบเรียงพระอภิธรรมฉบับย่อและเรียกชื่อคัมภีร์นี้ว่า             พระอภิธัมมัตถสังคหะ
อภิธัมมัตถสังคหะ จึงหมายถึง คัมภีร์ซึ่งรวบรวมเนื้อความของ พระอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์ ไว้โดยย่อ อันเปรียบเสมือนแบบเรียนเร็ว พระอภิธรรม แบ่งเป็น 9 ปริจเฉท (9 ตอน) แต่ละปริจเฉทมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้
ปริจเฉทที่ 1 จิตตสังคหวิภาค แสดงเรื่อง ธรรมชาติของจิต ประเภทของจิต ทั้งโดยย่อและโดย พิสดาร
ปริจเฉทที่ 2 เจตสิกสังคหวิภาค แสดงเรื่องเจตสิก คือ ธรรมชาติที่ประกอบกับจิตเพื่อปรุงแต่งจิต มีทั้งหมด 52 ลักษณะ แบ่งเป็น เจตสิกที่ประกอบกับจิตได้ทุกประเภท
ปริจเฉทที่ 3 ปกิณณกสังคหวิภาค แสดงการนาจิตและเจตสิกมาสัมพันธ์กับธรรม 6 หมวด ได้แก่ ความ รู้สึกของจิต (เวทนา) เหตุแห่งความดีความชั่ว (เหตุ) หน้าที่ของจิต (กิจ) ทางรับรู้ของจิต (ทวาร) สิ่งที่จิตรู้ (อารมณ์) และที่ตั้งที่อาศัยของจิต (วัตถุ)
ปริจเฉทที่ 4 วิถีสังคหวิภาค แสดงวิถีจิต อันได้แก่ กระบวนการทางานของจิตที่เกิดทางตา ทาง หู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ปริจเฉทที่ 5 วิถีมุตตสังคหวิภาค แสดงถึงการทางานของจิตขณะใกล้ตาย ขณะตาย (จุติ) และขณะ เกิดใหม่ (ปฏิสนธิ)
ปริจเฉทที่ 6 รูปสังคหวิภาค และนิพพาน  
ปริจเฉทที่ 7 สมุจจยสังคหวิภาค แสดงธรรมที่ควรรู้ที่สำคัญๆ ได้แก่ อุปาทานขันธ์ อายตนะ 12 ธาตุ 18 อริยสัจ 4 และโพธิปักขิยธรรม (ธรรมที่เกื้อกูลการตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค) มี 37 ประการ คือ สติปัฏฐาน 4, สัมมัปปธาน 4, อิทธิบาท 4, อินทรีย์ 5, พละ 5, โพชฌงค์ 7 และมรรคมีองค์ 8
ปริจเฉทที่ 8 ปัจจยสังคหวิภาค ในปริจเฉทนี้ ท่านได้แสดงเรื่องปฏิจจสมุปบาท (เหตุและผลที่ทาให้มีการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์) และปัจจัยสนับสนุน 24 ปัจจัย ในตอนท้ายยังได้แสดงความหมายของบัญญัติธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ใช่เป็นความจริงแท้ แต่เป็นจริงตามสมมุติ (สมมุติสัจจะหรือสมมุติโวหาร) ตามกติกาของชาวโลก

ปริจเฉทที่ 9 กัมมัฏฐานสังคหวิภาค กล่าวถึงความแตกต่างของสมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้เห็นว่าสมถกรรมฐานหรือการทาสมาธินั้นเป็นการปฏิบัติเพื่อให้จิตเกิดความสงบ และเกิดอภิญญา (เกิดอิทธิฤทธิ์ต่างๆ)
ในอภิธัมมัตถสังคหะ ทั้ง 9 ปริจเฉทนั้น เมื่อพูดถึงหลักใหญ่แล้ว ท่านพระอนุรุทธาจารย์ได้กล่าวไว้ 4 เรื่องใหญ่ๆด้วยกันคือ
1.จิต ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
2.เจตสิก ธรรมชาติที่ประกอบกับจิต
3.รูป ธรรมชาติอันเป็นวัตถุที่ต้องย่อยยับไป
4.นิพพาน ธรรมชาติสิ้นทุกข์

4. รูปตามแนวพระอภิธรรมปิฎก
รูปเป็นปรมัตถสัจจะอย่างหนึ่ง ที่เป็นสังขตธรรมเช่นเดียวกับจิตและเจตสิก  เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น  และเป็นไปตามอำนาจการปรุงแต่งของเหตุปัจจัย  แต่มีความแตกต่างกับ คือ จิตและเจตสิกเป็นนามธรรม ส่วนรูปเป็นรูปธรรม
4.1 ความหมายของรูป
คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ ได้ให้ความว่า รูปหมายถึงธรรมชาติที่ชื่อว่ารูป เพราะอรรถว่า แปรผัน (สลาย) อธิบายว่า รูป คือ ธรรมชาติที่ย่อมแตกสลายไปด้วยอำนาจของความร้อนและเย็น เป็นต้น” 
4.2  ลักษณะของรูป
ลักษณะของรูป มี 4 ประการ คือ
1.มีการแตกสลายเป็นลักษณะ
2.มีการผันแปรกลับกลายเป็นกิจ
3.มีภาวะไม่เป็นบุญไม่เป็นบาปเป็นผล
4.มีวิญญาณเป็นเหตุใกล้

4.3 ประเภทของรูป

คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ ได้จำแนกรูปออกเป็น 28 ประเภท   รายงานนี้ได้อธิบายตามนัยของรูปสมุทเทสสังคหะ คือ การแสดงรูปโดยย่อ ดังนี้

กลุ่มที่มหาภูตรูป หมายถึงรูปที่เป็นใหญ่และปรากฏชัดเจนโดยลักษณะของตน  และโดยสัณฐานของตน  ได้แก่  ปฐวี  อาโป  เตโช  วาโย
1. ปฐวีธาตุ    คือ   รูปที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่ 
2. อาโปธาตุ คือ รูปที่เอิบอาบ ซึมซาบไหลไป  
3. เตโชธาตุรูป คือ รูปที่ร้อนหรือให้ความอบอุ่น
4. วาโยธาตุรูป   คือ    รูปที่หรือเคลื่อนไหวไป
กลุ่มที่ 2 อุปาทายรูป หมายถึงรูปที่อาศัยมหาภูตรูปเป็นแดนเกิด มี 24 รูปคือ
5. จักขุปสาทรูป คือ รูปที่สามารถรับรูปารมณ์ คือ สีต่างๆได้
6. โสตปสาทรูป คือ รูปที่สามารถรับสัททารมณ์ คือ เสียงต่างๆ  ได้ มี
7. ฆานปสาทรูป คือ รูปที่สามารถรับคันธารมณ์ คือ กลิ่นต่างๆ  ได้ 
8. ชิวหาปสาทรูป คือ รูปที่สามารถรับรสารมณ์ คือ รสต่างๆ  ได้ 
9. กายปราสาทรูป คือ รูปที่สามารถรับสิ่งสัมผัสต่างๆ  มี  เย็น  ร้อน  อ่อน  แข็ง  หย่อน  และตึงเป็นต้นได้  มีอยู่ทั่วร่างกาย  เว้นที่ปลายผม  ปลายขน  เล็บ  หนังที่หนา 
11. วัณณรูป คือ สีหรือรูปต่างๆ ที่แสดงให้ปรากฏแก่จิตทางตาว่ามีรูปร่างสัณฐานอย่างไร  วัณณรูปนี้รู้ได้ด้วยจักขุปสาท  ทำให้เกิดจักขุวิญญาณ
11.สัททรูป คือ  เสียงต่างๆ เสียงเป็นรูปอย่างหนึ่ง   เกิดจากการส่งเสียงออกมา 
12. คันธรูป  คือ กลิ่นต่างๆ กลิ่นเป็นรูปอย่างหนึ่ง รูปกลิ่นหรือคันธรูป   รู้ได้ด้วยฆานปสาท  ทำให้
13. รสรูป   คือ รสต่างๆ    รู้ได้ด้วยชิวหาปสาท   ทำให้เกิดชิวหาวิญญาณคือ  รู้รส
14. อิตถีภาวรูป คือ  รูปที่แสดงความเป็นเพศหญิงให้ปรากฏ 
15. ปุริสสภาวรูป  คือ  รูปที่แสดงความเป็นเพศชายให้ปรากฏ
16. หทัยรูป  คือ รูปที่เป็นที่ตั้งแห่งจิต 
17. ชีวิตรูป  คือ  กำลังที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ 
18. อาหารรูป  หมายถึง  โอชาที่อยู่ในอาหารต่าง ๆ ดังนั้น  อาหารรูปจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโอชารูป อาหารรูปนี้เป็นเครื่องยังชีวิตให้เจริญเติบโตหรือยังรูป           
19. ปริเฉทรูป หมายถึง รูปที่ไม่มีสภาวะของตนเองโดยเฉพาะ แต่เป็นรูปช่องว่างที่เกิดขึ้นในระหว่างช่องที่ตัดตอนของรูปกลาปะต่อรูปกลาปะ
21. กายวิญญัติรูป รูปแสดงการเคลื่อนไหวกาย  การเคลื่อนไหวกายตามปกติ  เช่น การยืนเดิน  นั่ง และนอน เป็นต้น 
21. วจีวิญญัติรูป คือ รูปแสดงการเคลื่อนไหวทางวาจา
22. ลหุตารูป  คือ ความเบาแห่งรูป
23. มุทุตารูป คือ ความอ่อนแห่งรูป
24. กัมมัญญตารูป  คือ ความควรเหมาะแก่การงานแห่งรูป 
 25. อุปัจจยรูป คือ รูปที่เกิดขึ้นในปฏิสนธิขณะจนกระทั่งรูปเกิดขึ้นบริบูรณ์
26. สันตติรูป  คือ ความสืบเนื่องต่อกันไปแห่งรูป 
27. ชรตารูป คือ ความทรุดโทรมไปแห่งรูป
28. อนิจจตารูป  คือ รูปความไม่ยั่งยืน  

4.4 รูปตามแนวพระอภิธรรมปิฎก มีดังนี้
4.4.1 รูปในธัมมสังคณี ว่าด้วยการรวมกลุ่มธรรมะ คือการจัดระเบียบธรรมะที่กระจายกันอยู่ โดยจัดธรรมะต่างๆ ที่กระจายกันอยู่มากมายมาไว้เป็นหัวข้อสั้นๆ เหมือนคำชี้ส่วนเครื่องยนต์ต่างๆ          มาประกอบเป็นเครื่องยนต์ทั้งเครื่อง เช่นกุศลธรรม, อกุศลธรรม, อัพยากตธรรม เป็นตัน

รูปกัณฑ์
                    บรรดาธรรมเป็นอัพยากฤต รูปทั้งหมด เป็นไฉน?
               มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นั้น นี้เรียกว่า รูปทั้งหมด
มาติกา
เอกกมาติกา
                    รูปทั้งหมด ไม่ใช่เหตุ ไม่มีเหตุ วิปปยุตจากเหตุ เป็นไปกับด้วยปัจจัยเป็นสังขตธรรม เป็นรูปธรรม เป็นโลกิยะธรรม เป็นอารมณ์ของอาสวะ เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์ เป็นอารมณ์ของคันถะ เป็นอารมณ์ของโอฆะ เป็นอารมณ์ของโยคะ เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ เป็นอารมณ์ของปรามาส      เป็นอารมณ์ของอุปาทาน เป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นอัพยากตธรรม ไม่มีอารมณ์ ไม่ใช่เจตสิก วิปปยุตจากจิต ไม่ใช่วิบาก และไม่ใช่ธรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก ไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส ไม่ใช่ธรรมมีทั้งวิตกทั้งวิจาร ไม่ใช่ธรรมไม่มีวิตก แต่มีวิจาร ไม่มีทั้งวิตกวิจาร ฯลฯสงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ 1 อย่างนี้
(อภิ.สํ. 34/512/167-168 )
สรุปว่า รูปในธัมมสังคณี จัดเป็นอัพยากตธรรม


4.4.2  รูปในวิภังค์ ว่าด้วยการแยกกลุ่ม คือกระจายออกจากกลุ่มใหญ่เพื่อให้เห็นรายละเอียด เช่นขันธ์ 5 มีอะไรบ้าง แต่ละข้อแยกออกไปอย่างไรได้อีก เปรียบได้กับการถอดส่วนประกอบเครื่องยนต์ออกจากตัวเครื่องยนต์ที่ประกอบอยู่เดิม
อภิธรรมภาชนีย์
รูปขันธ์
ในขันธ์ 5 นั้น
                    รูปขันธ์ เป็นไฉน รูปขันธ์หมวดละ 1 คือ รูปทั้งหมด เป็นนเหตุ เป็นอเหตุกะเป็นเหตุวิปปยุต เป็นสัปปัจจยะ เป็นสังขตะ เป็นรูป เป็นโลกิยะ เป็นสาสวะเป็นสัญโญชนิยะ เป็นคันถนิยะ เป็นโอฆนิยะ เป็นโยคนิยะเป็นนีวรณิยะ เป็นปรามัฏฐะ เป็นอุปาทานิยะ เป็นสังกิเลสิกะ                     เป็นอัพยากฤต เป็นอนารัมมณะเป็นอเจตสิกะ เป็นจิตตวิปยุต เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรม      เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะ เป็นนสวิตักกสวิจระ เป็นนอวิตักกวิจารมัตตะ เป็นอวิตักกอวิจาระ     เป็นนปีติสหคตะ เป็นนสุขสหคตะ เป็นนอุเปกขาสหคตะ เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพะ        เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ เป็นเนวาจยคามินาปจยคามีเป็นเนวเสกขนาเสกขะ         เป็นปริตตะ เป็นกามาวจร เป็นนรูปาวจร เป็นนอรูปาวจรปริยาปันนะ เป็นนอปริยาปันนะ            เป็นอนิยตะ เป็นอนิยยานิกะ เป็นอุปปันนฉวิญญาณวิญเญยยะ เป็นอนิจจะ เป็นชราภิภูตะ รูปขันธ์หมวดละ 1 ด้วยประการฉะนี้ ฯลฯ
                    รูปขันธ์หมวดละ 11 คือ จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะชิวหายตนะ กายายตนะ       รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะโผฏฐัพพายตนะ และรูปที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้นับเนื่องในธัมมายตนะ รูปขันธ์หมวดละ 11 ด้วยประการฉะนี้สภาวธรรมนี้เรียกว่า รูปขันธ์
(อภิ.วิ. 35/33/18- 21)
สรุปว่า รูปในวิภังค์ ได้จัดแยกย่อยเป็น 11 หมวด

4.4.3  ธาตุกถา ว่าด้วยธาตุ คือสิ่งอันเป็นต้นเดิมของธรรมะ เช่น ธาตุที่สงเคราะห์เข้ากันได้กับธาตุที่สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้ เป็นต้น กล่าวถึงสิ่งที่มีอยู่จริงโดยมีลักษณะเฉพาะตน แต่ธาตุในที่นี้
                                                                                 ธาตุกถา
สังคหาสังคหปทนิทเทส
                    รูปขันธ์ สงเคราะห์ได้ด้วยขันธ์ อายตนะ ธาตุเท่าไร?
รูปขันธ์สงเคราะห์ได้ด้วยขันธ์ 1 อายตนะ 11 ธาตุ 11. สงเคราะห์ไม่ได้ด้วย ขันธ์
อายตนะ ธาตุเท่าไร? สงเคราะห์ไม่ได้ด้วย ขันธ์ 4 อายตนะ 1 ธาตุ 7
(อภิ.ธาตุ.36 /2/4)
4.4.4 ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยบัญญัติบุคคล โดยกล่าวถึงคุณธรรมสูงต่ำของบุคคล เช่น ผู้พ้นได้เป็นคราวๆ คือ บางคราวก็ละกิเลสได้ บางคราวก็ละไม่ได้ และ ผู้พันตลอดไป ไม่ขึ้นอยู่กับคราวสมัย ได้แก่ผู้ละกิเลสได้เด็ดขาด เป็นต้น
ปุคคลบัญญัติ
ขันธบัญญัติ
                    การบัญญัติธรรมที่เป็นหมวดหมู่กันว่า ขันธ์ มีเท่าไร ธรรมที่เป็นหมวดหมู่กันมี 5 คือ    1. รูปขันธ์ 2. เวทนาขันธ์3. สัญญาขันธ์4. สังขารขันธ์ 5. วิญญาณขันธ์ การบัญญัติธรรมที่เป็นหมวดหมู่กันว่า ขันธ์ ก็มี 5 ตามจำนวนหมวดธรรมเหล่านี้
(อภิ.ปุ.36 /2/93)
 
4.4.5 กถาวัตถุ ว่าด้วยเรื่องของถ้อยคำ หรือการตั้งคำถามคำตอบเพื่อชี้ให้เห็นหลักธรรมที่ถูกต้องทางพระพุทธศาสนา
อรูเป รูปกถา
                    สกวาที รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย หรือ?
                    ปรวาที ถูกแล้ว
                    ป. เป็นรูปภพ เป็นรูปคติ เป็นรูปสัตตาวาส เป็นรูปสงสาร เป็นกำเนิดแห่ง
                    รูปสัตว์ เป็นการได้อัตภาพแห่งรูปสัตว์ หรือ?
                    ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
                    ป. อรูปภพ เป็นอรูปคติ อรูปสัตตาวาส อรูปสงสาร เป็นกำเนิดแห่งอรูปสัตว์ เป็นการได้อัตภาพแห่งอรูปสัตว์ มิใช่หรือ?
                    ป. ถูกแล้ว
                    ส. หากว่า เป็นอรูปภพ ฯลฯ เป็นการได้อัตภาพแห่งอรูปสัตว์ก็ไม่พึงกล่าวว่า รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย
(อภิ.กถา. 37/1235/514)






4.4.6 ยมก ว่าด้วยธรรมะที่เป็นคู่ๆ คือจัดธรรมะเป็นคู่ๆ โดยอาศัยหลักการต่างๆ เช่น ขันธยมก ดังนี้
นิทเทสวาร
ปทโสธนวาร
                    อนุโลม รูป คือรูปขันธ์หรือ?
                    ปิยรูป สาตรูป เรียกว่า รูป แต่ไม่ใช่รูปขันธ์ รูปขันธ์เป็นรูปด้วย เป็นรูปขันธ์ด้วย.
                    รูปขันธ์ คือรูปหรือ?
                    ถูกแล้ว.
                    ปฏิโลม ไม่ใช่รูป ไม่ใช่รูปขันธ์หรือ?
                    ถูกแล้ว.
                    ไม่ใช่รูปขันธ์ ไม่ใช่รูปหรือ?
 ปิยรูป สาตรูป ไม่ใช่รูปขันธ์ แต่เรียกว่า รูป ยกเว้นรูปและรูปขันธ์เสียแล้ว สภาวธรรมที่    เหลือนอกนั้น ไม่ใช่รูป และไม่ใช่รูปขันธ์.
(อภิ.ยมก.38/32/27)

4.4.7 ปัฏฐาน ว่าด้วยที่ตั้งคือปัจจัย 24 แสดงให้เห็นว่าธรรมทั้งหลายมีเหตุมีปัจจัยให้เกิด มิได้เกิดเอง หรือมีใครสร้างขึ้น อะไรเป็นปัจจัยของอะไรในทางธรรม
สหชาตปัจจัย
                    สหชาตปัจจัย คือ นามธรรม 4 เป็นปัจจัยแก่กันและกัน โดยสหชาตปัจจัย มหาภูตรูป 4เป็นปัจจัยแก่กันและกัน โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ นามรูปเป็นปัจจัยแก่กันและกัน         โดยสหชาตปัจจัยจิตและเจตสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่รูป อันมีจิตเป็นสมุฏฐาน โดยสหชาตปัจจัย มหาภูตรูป เป็นปัจจัยแก่อุปาทารูป โดยสหชาตปัจจัย รูปธรรม บางคราวเป็นปัจจัยแก่นามธรรม โดยสหชาตปัจจัย บางคราวเป็นปัจจัยโดยมิใช่สหชาตปัจจัย
(อภิ.ปัฏ.41/7 /6)



----------------------------------------------------




บรรณานุกรม

มหามกุฏราชวิทยาลัย (2525). พระไตรปิฎกภาษาไทย. กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย.
คันธสาราภิวงศ์,พระ.(2552). อภิธรรมมัตถสังหะและปรมัตถทีปนี. กรุงเทพฯ : ประยูรสาส์นไทย.